Booking by AGODA

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

น้ำแร่ แร่นอง

“น้ำพุมานั้นร้อนจัดเท่าๆ น้ำต้มเดือดและใช้ได้เช่นเดียวกับชงน้ำชากินก็ได้ต้มไข่ในบ่อก็สุกอยู่ข้างจะดีมาเสียแต่มาอยู่เสียในที่ซึ่งไปมายาก... ถ้าเป็นที่เมืองนอกคงจะมีผู้คิดทำที่กินน้ำและอาบน้ำขึ้นเป็นแน่และน้ำจากบ่อนั้นถ้ากรอกขวดปิดกระดาษให้งามๆ อาจจะขายได้ราคาแพงๆ ก็ได้... น้ำแร่ต่างๆ ที่ฝรั่งกรอกขวดมาขายเป็นยานั้นก็ไม่ผิดอะไรกับเช่นน้ำแร่ที่เรียกว่า เอเวียง เป็นต้น”
แร่นอง2   แม้ว่าในเมืองไทยจะมีแหล่งน้ำพุร้อนอยู่มากมายหลายแห่งแต่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมานานและเก่าแก่มากที่สุด คือ น้ำพุร้อนธรรมชาติเมืองระนอง ด้วยความเป็นมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ทำให้น้ำพุร้อนแห่งนี้มีความพิเศษต่างจากที่อื่น คือ น้ำที่พุขึ้นมานั้นมีอุณหภูมิสูงถึง 65 องศาเซลเซียส ทำให้น้ำแร่มีความสะอาด บริสุทธิ์สูง จนสามารถดื่มได้ทันทีจากแหล่งกำเนิดซึ่งพุน้ำร้อนลักษณะนี้มีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลกสิ่งที่เป็นประจักษ์พยานสำคัญ คือ พระราชนิพนธ์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองระนองเมื่อปี ร.ศ.109 หรือ พ.ศ.2433 และพระองค์ท่านได้พระราชทานชื่อถนนสายต่างๆ ในตัวเมืองระนองและถนนสายหนึ่งพระราชทานชื่อว่า ถนนชลระอุ แปลว่า ถนนน้ำร้อน เป็นถนนที่ออกจากตัวเมืองไทยไปยังบ่อน้ำพุร้อนอันมีชื่อเสียงของเมืองระนอง ต่อมาในปี ร.ศ.128 หรือ พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้และได้พระราชนิพนธ์ จดหมายเหตุประพาสใต้ โดยทรงใช้นามแฝงว่า นายแก้ว ทรงเล่าถึงบ่อน้ำพุร้อนเมืองระนองไว้ว่า
“น้ำพุมานั้นร้อนจัดเท่าๆ น้ำต้มเดือดและใช้ได้เช่นเดียวกับชงน้ำชากินก็ได้ต้มไข่ในบ่อก็สุกอยู่ข้างจะดีมาเสียแต่มาอยู่เสียในที่ซึ่งไปมายาก... ถ้าเป็นที่เมืองนอกคงจะมีผู้คิดทำที่กินน้ำและอาบน้ำขึ้นเป็นแน่และน้ำจากบ่อนั้นถ้ากรอกขวดปิดกระดาษให้งามๆ อาจจะขายได้ราคาแพงๆ ก็ได้... น้ำแร่ต่างๆ ที่ฝรั่งกรอกขวดมาขายเป็นยานั้นก็ไม่ผิดอะไรกับเช่นน้ำแร่ที่เรียกว่า เอเวียง เป็นต้น”
จากหลักฐานดังกล่าวข้างต้นบ่งชี้ให้เห็นว่า “น้ำพุร้อนธรรมชาติระนอง”เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ามหาศาลและคุณประโยชน์นานัปการแต่ได้ถูกทอดทิ้งและไม่มีผุ้ใดเห็นคุณค่ามาเป็นเวลากว่าหนึ่งร้อยปี และไม่เคยมีผู้ใดคิดไตร่ตรองที่จะนำน้ำแร่ธรรมชาติระนองนี้มาพัฒนาในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดความเจริญและพัฒนาแก่จังหวัดระนองและประเทศไทยให้ทัดเทียมประเทศในแถบยุโรปและอเมริกาจนกระทั่งในปี พ.ศ.2528 การแจ้งเกิดของโรงแรมจันทร์สม ธารา(เดิม)หรือ โรงแรมจันทร์สม ฮอท สปา ระนองในปัจจุบัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการจุดประกายฉายแสงของน้ำแร่ธรรมชาติระนองอันทรงคุณค่าให้ประจักษ์แก่สายตาทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ดังนั้น การนำน้ำแร่ธรรมชาติมาพัฒนาเพื่อสร้างงานและความเจริญสู่จังหวัดจึงเริ่มขึ้นโดยการเน้นการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ควบคู่กับไปจากก้าวแรกเมื่อ 16 ปีที่แล้วจวบจนทุกวันนี้โรงแรมจันทร์สมฯ ได้นำน้ำแร่ธรรมชาติระนองมาพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก
สนใจจัดจำหน่าย น้ำแร่ธรรมชาติแร่นองและผลิตภัณฑ์น้ำแร่ทุกชนิดจากแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติระนอง  ที บริษัท เอ็นฟู๊ดโปรดักส์  โทร.0813730505

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พระราชวังรัตนรังสรรค์

“พลับพลาที่ทำนั้นก็เทำจากเสาไม้จริง เครื่องไม้จริง แต่กรุใช้ไม้ระกำทั้งลำเข้าเป็นลายต่างๆ หลังคามุงไม้เกล็ดแล้วสองหลัง ยกเป็นห้องนอนสูงขึ้นไปหลังหนึ่ง มีคอนเซอเวเตอรียาวไปจนหลังแปดเหลี่ยม อีกหลังหนึ่ง ที่หลังเล็กที่เป็นที่นอน และที่หลังแปดเหลี่ยมแลดูเห็นเมืองระนองทั่วทั้งเมือง หน้าต่างทุกๆ ช่อง เมื่อยืนดูตรงนั้น ก็เหมือนหนึ่งดูปิกเชอแผ่นหนึ่ง ด้วยแลเห็นทุ่งนาออกไปจนกระทั่งภูเขาซึ่งอยู่ใกล้ชิด ได้ยินเสียงชะนีร้องเนืองๆ  สลับซับซ้อนกันไป ด้านหนึ่งก็เป็นอย่างหนึ่ง ไม่เคยอยู่ที่ใดซึ่งตั้งอยู่ในที่แลเห็นเขาทุ่งป่า และบ้านเรือนคน งามเหมือนอย่างที่นี่เลย”

181249_552000015488301

   จากพระราชนิพนธ์ว่าด้วยเมืองระนอง ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบแหลมมลายู ทรงบรรยายถึงที่ประทับแรม ซึ่งเจ้าเมืองะนอง ตามประวัติ "พระราชวังรัตนรังสรรค์" ถูกสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2433 โดย "พระยารัตนเศรษฐี" (คอมซิมก๊อง) เจ้าเมืองระนองในขณะนั้น เนื่องด้วยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกเป็นครั้งแรกที่จะได้เสด็จไปถึงเมืองระนองในวันที่ 23-25 เมษายน 2433 พระยารัตนเศรษฐีจึงได้สร้างพลับพลาที่ประทับรับเสด็จที่บนเนินควนอันอยู่ใจกลางเมือง

DSC04848

“เดิมคิดว่าต้องมานอนที่เกาะเขมาเกินโปรแกรมวันหนึ่งจะย่นวันเมืองระนองเข้าอยู่แต่สองคืน แต่ครั้นเมื่อไปเห็นที่เขาทำไว้ให้อยู่ลงทุนรอนมาก และการต้อนรับนั้นโดยความแข็งแรงจริงๆ จึงได้ผ่อนวันออกไปอีกวันหนึ่ง “

ranong 150 8

   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลื่อนการประทับต่อไปอีกหนึ่งคืน เมื่อทรงเห็นการต้อนรับของเจ้าเมืองระนอง และสถานที่ประทับสวยงามตามที่ท่านทรงบรรยาย

  ต่อมาเนื่องด้วยนานๆครั้งจะเสด็จประพาสเมืองระนองครั้งหนึ่ง จะทิ้งวังไว้เปล่าๆก็จะชำรุดทรุดโทรม รัชกาลที่ 5 จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาติว่า ให้ใช้พระราชวังนั้นเป็นศาลารัฐบาลและทำพิธีสำหรับบ้านเมือง หากมีการเสด็จประพาสเมื่อใดจึงให้จัดเป็นที่ประทับ ซึ่งนอกจากรัชกาลที่ 5 แล้ว พระมหากษัตริย์อีก 2 พระองค์คือรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ก็ได้ใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับแรมเมื่อครั้งเสด็จประพาสเยี่ยมหัวเมืองปักษ์ใต้ฝั่งตะวันตกเช่นกัน 
   เมื่อองค์พระที่นั่งได้ชำรุดทรุดโทรมลง ในสมัยพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอยู่หงี่) เจ้าเมืองระนองในขณะนั้น จึงได้ร่วมกับสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ตปรับปรุงและดัดแปลงพระที่นั่งรัตนรังสรรค์ใหม่ โดยสร้างเป็นรูปเรือนตึกก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ทาสีขาว ก่อสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2444 แล้วใช้อาคารหลังนี้เป็นศาลากลางเมืองระนองเรื่อยมา 
  กระทั่งเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2507 พ.ต.อ.บุญณรงค์ วัฒฑนายน ผู้ว่าราชการจังหวัดระนองในขณะนั้นได้รื้อถอนองค์พระที่นั่ง เพื่อสร้างเป็นศาลากลางจังหวัดหลังปัจจุบัน พระที่นั่งรัตนรังสรรค์จึงสูญหายไปจากจังหวัดระนองตั้งแต่บัดนั้น แต่ก็ยังคงมีร่องรอยเป็นบันไดและบริเวณให้เห็น     โดยทางกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ.2520 
  ในปี พ.ศ.2545 จังหวัดระนองได้มีโครงการก่อสร้างพระที่นั่งรัตนรังสรรค์จำลองขึ้น บนเนินเขานิเวศน์คีรี ใกล้เคียงกับบริเวณเดิม ตัวอาคารสร้างด้วยไม้ตะเคียนทองโครงสร้างคอนกรีตสูงสามชั้น ชั้นล่างโล่ง ชั้นที่สองเป็นรูปเหลี่ยมแปดด้าน ปัจจุบันประดิษฐานโต๊ะทรงพระอักษรพร้อมพระเก้าอี้ทำด้วยหนังแท้ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับที่พระที่นั่งวิมานเมฆพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร และพระเก้าอี้ทรงพักผ่อนแกะสลักลวดลายเป็นรูปดอกกุหลาบ ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยทรงใช้เป็นที่ประทับและบรรทม ส่วนหลังคาชั้นที่สามทรงปั้นหยา มีดั้งประดับไม้ลวดลายฉลุอย่างสวยงาม 
  นอกจากนี้ก็ยังมีหอแปดเหลี่ยมที่มีความสูงประมาณ 17 เมตร คล้ายคลึงกับ หอวิฑูรทัศนา ที่พระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบผสมผสาน คือหลังคาทรงปั้นหยาแบบไทยประดับเชิงชายไม้ฉลุซ้อนกันอย่างพม่าส่วนบริเวณชั้นสองมีระเบียงไม้ประดับกันตก สามารถเดินชมทิวทัศน์ได้โดยรอบ พื้นเฉลียงปูกระเบื้องดินเผา มีหลังคาคลุม ช่องประตูเป็นรูปโค้งทั้งแปดด้าน จากชั้นสองถึงชั้นสาม มีบันไดเวียนภายในขึ้นไปบนชั้นสาม ซึ่งมีหน้าต่างสามารถชมทัศนียภาพบริเวณหน้าพระที่นั่ง ตัวเมืองระนองด้านทิศตะวันตก ชายแดนประเทศไทยและสหภาพพม่า นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินบริเวณทะเลอันดามันได้อย่างสวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองระนองด้วย


capture-20120918-103727
 
    พระราชวังรัตนรังสรรค์จังหวัดระนองถือเป็นพระราชวังที่มีการประกาศพระบรมราชโองการยกขึ้นเป็นพระราชวัง 1 ใน 19 แห่งของประเทศไทย และเป็นพระราชวัง 1 ใน 6 แห่งที่สร้างขึ้น     ตามหัวเมืองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ขอบคุณข้อมูลจาก
ผู้จัดการออนไลน์
24 มิถุนายน 2550 17:04 น.
ขอบคุณรูปภาพจาก เจ โฟโต้https://www.facebook.com/jay.ranong?fref=ts
www.ranongtour.com

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ระนอง น้ำพุร้อนพรรั้ง

น้ำแร่พรรั้ง 
ระนองเป็นเมืองแห่งสุขภาพ และมีแหล่งน้ำแร่อยู่อย่างมากมายเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบสุขภาพ ธรรมชาติบำบัด พักผ่อนสบาย ๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการแช่น้ำแร่ในสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองระนอง หนึ่งในสถานที่แช่น้ำแร่ที่เป็นที่นิยมอีกในจังหวัดระนองคือ บ่อน้ำร้อนพรรั้ง ตั้งอยู่ที่บ้านพรรั้ง ตำบลบางริ้น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว สภาพพื้นที่โดยรอบจะเป็นเนินเขา ลดหลั่นต่างระดับกัน แวดล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพรรณ ในพื้นที่บ่อน้ำร้อนพรรั้งจะมีต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงขึ้นแซมอยู่ในพื้นที่มากมาย รวมทั้ง โกมาซุมหรือดอกเอื้องเงินหลวงกล้วยไม้ป่าชนิดหนึ่งที่เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดระนอง ซึ่งนอกจากจะเพลิดเพลินกับกิจกรรมการแช่น้ำแร่แล้ว ยังได้ความหลากหลายของพืชพรรณธรรมชาติที่ขึ้นอยู่ในบริเวณบ่อน้ำร้อนพรรั้งด้วย บ่อน้ำร้อนพรรั้ง ประกอบด้วยบ่อน้ำร้อนธรรมชาติ และบ่อปูนซีเมนต์ บ่อน้ำร้อนที่เกิดจากธรรมชาติจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 1 เมตร ประมาณ 5 บ่อด้วยกัน น้ำร้อนจะไหลซึมขึ้นมาตามรอยแตกของหิน ทั้งจากหินแกรนิต หินภูเขาไฟจำพวกแอนดิไซด์ และหินทัฟฟ์ และสายแร่ควอตซ์ น้ำร้อนมีลักษณะใส และมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เล็กน้อย ไม่มีกลิ่นกำมะถัน มีสาหร่ายสีเหลืองในธารน้ำร้อน อุณหภูมิน้ำร้อนโดยเฉลี่ยประมาณ 35-40 องศาเซลเซียส เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอาบน้ำแร่แบบใกล้ชิดธรรมชาติ
ขอขอบพระคุณข้อมูลท่องเที่ยวดีดีจาก http://www.tourtooktee.com
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม www.ranongtour.com
เลือกซื้อแพ็คเก็จทัวร์ระนอง ที่ www.jansomhotsparanong.net

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

อะไรเป็นจุดเด่นด้านสปาของโรงแรมจันทร์สมฯ

 จันทร์สม-อสท (27)
Picture 019

IMG_1673 IMG_1672


ลักษณะพิเศษของสปา
สปาของจันทร์สม เป็นการทำสปาที่นำน้ำแร่ร้อนธรรมชาติ 100% เข้ามาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการอาบหรือการแช่ในอ่างจากกุซซี่ขนาดใหญ่แยกบ่อชาย-หญิง ในอุณหภูมิที่เหมาะสม พร้อมทั้งมีบริการนวดแผนไทย นวดอโรม่า นวดสวีดิช นวดหินร้อน และทรีทเม้นต์ต่างๆ ที่ผสมผสานกับน้ำแร่ร้อนธรรมชาติ ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนและต่อมน้ำเหลือง จิตใจสงบหลับสบาย ระบบเผาผลาญในร่างกายดีขึ้น บรรเทาอาการปวดเมื้อยกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายจากความกังวล ความตึงเครียด ขับสารพิษออกจากร่างกาย เพิ่มพลังงานและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย สามารถช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้สวยงามเปล่งปลั่ง เนียนสดใส สดชื่น สะอาด อีกทั้งยังทำให้ท่านได้รู้สึกผ่อนคลายและมีสุขภาพดี ท่ามกลางบรรยากาศของความเป็นสปา
www.ranongtour.com
www.jansomhotsparanong.net

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หลวงพ่อติ้ว วัดสุวรรณคีรีวิหาร (วัดหน้าเมือง)ระนอง


วัดสุวรรณคีรีวิหาร(วัดหน้าเมือง)

photo photo (2)
สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๓ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 โดยมีพระราชดำริให้พระยารัตนเศรษฐี ผู้ว่าราชการเมืองระนอง ในขณะนั้น ดำเนินการสร้างขึ้นมาแทนวัดที่มีอยู่เดิม ภายในวัดมีจุดเด่นอยู่ที่พระประธาน พระพุทธรูปหินอ่อน ๕ องค์ ที่ขึ้นชื่อว่างดงามอ่อนช้อย เจดีย์ทรงพม่าและธรรมมาสน์ ที่รัชกาลที่๕ ทรงพระราชทาน วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนชาติเฉลิม จากถนนเรืองราษฎร์ ขึ้นไปทางตอนเหนือ ผ่านวงเวียนน้ำพุ เข้าสู่ถนนชาติเฉลิมตรงขึ้นไป วัดอยู่หัวมุมทางเลี้ยวก่อนจะเข้าถนนบำรุงสถาน
ในวัดมีรูปเหมือนหลวงพ่อติ้ว สุวณโณ เจ้าอาวาสองค์ที่ ๔ ของวัดสุวรรณคีรีวิหาร  เป็นพระเกจิผู้ทรงคุณมากและเป็นหมอยา ปฏิบัติในพระธรรมวินัยเคร่งครัดมาก ชาวระนองให้ความเคารพนับถือ และมากราบไหว้ขอพรในเรื่องของสุขภาพ
เป็นเรื่องบอกเล่า จากชาวระนองผู้หนึ่ง เมื่อครั้งผู้เขียนมีโอกาสเข้าไปสืบค้นข้อมูลของวัดเพื่อนำมาเป็นเรื่องราวท่องเที่ยวนั้น ได้ไปพบอาคารเล็กหลังหนึ่งภายในวัด จึงเดินเข้าไปสำรวจพบ รูปปั้นพระ ๓ องค์ ในจำนวนนั้นเป็นรูปสักการะ ของหลวงพ่อติ้ว สุวรณโณ และเจดีย์น่าจะเป็นเจดีย์ที่บรรจุอัฐของท่าน จึงจุดธูปกราบไหว้ โดยยังไม่ทราบประวัติท่านมากนัก หลังจากนั้นได้มีชายชรามาจอดรถและเดินเข้ามาสักการะ ท่านได้กรุณาเล่าประวัติของหลวงพ่อติ้วให้ฟัง พร้อมทั้งเปิดแผลผ่าตัดด้านหน้าอกให้ดู ท่านบอกว่าท่านเป็นมะเร็ง มากว่า 3 ปีแล้ว เมื่อหมอแจ้งให้ท่านทราบ ท่านคิดว่าท่านคงเอาชีวิตไม่รอดแล้ว จึงมากราบไหว้ขอพรจากหลวงพ่อติ้ว ทุกครั้งที่มีเวลาท่านจะต้องเข้ามากราบไหว้ขอพร ปัจจุบันท่านชรามาก แต่ยังขับรถได้ สุขภาพดีตามสภาพคนชรา ท่านเล่าว่าหลวงพ่อเป็นหมอยา ใครที่เป็นโรคสุขภาพไม่ดีให้มาขอพรจากท่าน
สนใจเรื่องราวระนอง ติดตามได้ www.ranongtour.com
www.ranongtour.com Tel.0813730505. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | hotel in ranong, Ranong the best price